ดาวศุกร์ (venus)
สำหรับวัตถุในธรรมชาติ ดาวศุกร์เป็นวัตถุท้องฟ้าที่สว่างที่สุดเป็นลำดับที่ 3 รองจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เนื่องจากดาวศุกร์มีวงโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก จึงมีมุมห่างจากดวงอาทิตย์ไม่เกิน 47.8° มองเห็นได้เฉพาะในเวลาเช้ามืดหรือหัวค่ำเท่านั้น ขณะปรากฏในท้องฟ้าเวลาหัวค่ำทางทิศตะวันตก เรียกว่า "ดาวประจำเมือง" และเมื่อปรากฏในท้องฟ้าเวลาเช้ามืดทางทิศตะวันออก เรียกว่า "ดาวประกายพรึก" หรือ "ดาวรุ่ง"
ลักษณะเฉพาะของวงโคจร
| ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ | โดยเฉลี่ย 108.2 ล้านกิโลเมตร(0.723 a.u.) ใกล้สุด 107.4 ล้านกิโลเมตร (0.718 a.u.) ไกลสุด 109 ล้านกิโลเมตร (0.728 a.u.) |
| Eccentricity | 0.007 |
| คาบการหมุนรอบตัวเอง | 243.16 วัน หมุนกลับทิศกับโลก |
| คาบการหมุนรอบดวงอาทิตย์ | 224.701 วันบนโลก ด้วยความเร็ว 35.02 กิโลเมตรต่อวินาที |
| ระนาบโคจร (Inclination) | 3:23:39.8 องศา |
| แกนเอียงกับระนาบโคจร | 178 องศา |
| มวล | 4.870x1027 กรัม หรือ 0.815 เท่าของโลก |
| เส้นผ่านศูนย์กลาง | 12,104 กิโลเมตร (โลก 12,756 กิโลเมตร ที่เส้นศูนย์สูตร) |
| แรงโน้มถ่วง | 0.903 เท่าของโลก |
| ความเร็วหลุดพ้น | 10.36 กิโลเมตรต่อวินาที |
| ความหน่าแน่น | 1 ต่อ 5.25 เมื่อเทียบกับน้ำ |
| ความสว่างสูงสุด | -4.4 |
อุณหภูมิ
มีคนเปรียบเทียบว่าดาวศุกร์เป็นดาวฝาแฝดกับโลก เนื่องจากดาวทั้งสองมีความคล้ายกันทั้งขนาด, มวล, ความหนาแน่นและปริมาตร โดยมีทฤษฎีว่าดาวศุกร์กับโลกอาจกำเนิดมาจากกลุ่มก๊าซในบริเวณและช่วงเวลาเดียวกัน แต่จากข้อมูลที่ได้จากการสังเกตการณ์โดยยานอวกาศที่โคจรรอบดาวศุกร์กลับพบว่า ดาวศุกร์กับโลกมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บนดาวศุกร์ไม่มีน้ำและไอน้ำอยู่เลย ชั้นบรรยากาศมีความหนาแน่นมากและมีความดันบรรยากาศสูงถึง 92 เท่าของความดันบรรยากาศบนโลกที่ระดับน้ำทะเล บรรยากาศประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมทั้งไอของกรดซัลฟิวริก ด้วยอุณหภูมิที่พื้นผิวสูงถึงประมาณ 482 องศาเซลเซียส
เนื่องจากมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มาก จึงทำให้ความร้อนที่เกิดจากการปลดปล่อยพลังงานจากพื้นผิวของดาวศุกร์ที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์กลับไม่ถูกปลดปล่อยออกสู่อวกาศ แต่จะสะท้อนชั้นคาร์บอนไดออกไซด์ และกักเก็บความร้อนภายในชั้นบรรยากาศ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าปรากฏการณ์เรือนกระจก (greenhouse effect) ถ้าไม่มีปรากฏการณ์เรือนกระจกบนดาวศุกร์ อุณหภูมิพื้นผิวบนดาวศุกร์จะต่ำกว่านี้มาก คาดว่าอาจถึง -100 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว
เนื่องจากมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มาก จึงทำให้ความร้อนที่เกิดจากการปลดปล่อยพลังงานจากพื้นผิวของดาวศุกร์ที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์กลับไม่ถูกปลดปล่อยออกสู่อวกาศ แต่จะสะท้อนชั้นคาร์บอนไดออกไซด์ และกักเก็บความร้อนภายในชั้นบรรยากาศ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าปรากฏการณ์เรือนกระจก (greenhouse effect) ถ้าไม่มีปรากฏการณ์เรือนกระจกบนดาวศุกร์ อุณหภูมิพื้นผิวบนดาวศุกร์จะต่ำกว่านี้มาก คาดว่าอาจถึง -100 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว
การเคลื่อนที่
ดาวศุกร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบรอบใช้เวลาประมาณ 225 วันของโลก ในขณะที่การหมุนรอบตัวเองของดาวศุกร์จะช้ามากคือใช้เวลาถึง 243 วันของโลก นั่นหมายถึงหนึ่งวันบนดาวศุกร์มีช่วงเวลานานกว่าหนึ่งปีบนดาวศุกร์ นอกจากนั้นการหมุนรอบตัวเองของดาวศุกร์จะกลับทิศจากโลกคือมีการหมุนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ถ้าเราสังเกตการณ์อยู่บนดาวศุกร์จะพบดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกและตกทางทิศตะวันออก ซึ่งกว่าดวงอาทิตย์จะตกลับขอบฟ้าบนดาวศุกร์อาจใช้เวลามากกว่าหนึ่งปีบนโลกซะอีก
เนื่องจากคาบการหมุนรอบตัวเองและคาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้ช่วงเวลาเกือบจะเท่ากันจนดูคล้ายว่าดาวศุกร์เกือบจะหันด้านเดียวเข้าหาดวงอาทิตย์ เหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ดาวศุกร์เหมือนกับจะหันด้านเดิมเข้าหาโลกตลอดเมื่อดาวศุกร์และโลกโคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กันมากที่สุด
เนื่องจากคาบการหมุนรอบตัวเองและคาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้ช่วงเวลาเกือบจะเท่ากันจนดูคล้ายว่าดาวศุกร์เกือบจะหันด้านเดียวเข้าหาดวงอาทิตย์ เหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ดาวศุกร์เหมือนกับจะหันด้านเดิมเข้าหาโลกตลอดเมื่อดาวศุกร์และโลกโคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กันมากที่สุด
องค์ประกอบ
เนื่องจากมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มาก จึงทำให้ความร้อนที่เกิดจากการปลดปล่อยพลังงานจากพื้นผิวของดาวศุกร์ที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์กลับไม่ถูกปลดปล่อยออกสู่อวกาศ แต่จะสะท้อนชั้นคาร์บอนไดออกไซด์ และกักเก็บความร้อนภายในชั้นบรรยากาศ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าปรากฏการณ์เรือนกระจก (greenhouse effect) ถ้าไม่มีปรากฏการณ์เรือนกระจกบนดาวศุกร์ อุณหภูมิพื้นผิวบนดาวศุกร์จะต่ำกว่านี้มาก คาดว่าอาจถึง -100 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว
เนื่องด้วยชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์มีความหนาแน่นมากจนมีลักษณะเป็นเมฆหนาปกคลุมโดยรอบ ทำให้แสงจากดวงอาทิตย์เมื่อมาตกกระทบเมฆดังกล่าวจะสะท้อนแสงออกมาถึง 70% ของปริมาณแสงทั้งหมด คงเหลือเพียง 30 % ที่ผ่านเมฆเข้าสู่พื้นผิวของดาวศุกร์ได้ การที่เมฆบนดาวศุกร์ทำหน้าที่สะท้อนแสงออกจากตัวดวงได้ดีทำให้ค่าสัดส่วนของแสงที่สะท้อนออกต่อแสงที่ตกกระทบทั้งหมด (albedo) มีค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับดาวเคราะห์อีกแปดดวง ดาวศุกร์จึงเป็นดาวเคราะห์ที่สว่างที่สุดบนฟากฟ้า และเนื่องจากเมฆบนดาวศุกร์สามารถป้องกันแสงได้ดี

ลักษณะทั่วไป
พื้นผิวส่วนใหญ่ของดาวศุกร์ถูกปกคลุมด้วยหินภูเขาไฟ มีภูเขาไฟขนาดใหญ่หลายแห่งและพบร่องรอยการไหลของลาวาแผ่ขยายออกจากปากปล่องภูเขาไฟประมาณหลายร้อยกิโลเมตร พบว่ามีแห่งหนึ่งที่มีการแผ่ขยายของลาวากว้างถึงเกือบ 7,000 กิโลเมตร ภาพจากยานแมกเจลแลนยังแสดงถึง บริเวณที่ค่อนข้างสว่างในส่วนที่ราบสูง ซึ่งคาดว่าบริเวณดังกล่าวน่าจะประกอบด้วยแร่ธาตุซึ่งมีส่วนผสมของโลหะจำพวกแร่ไพไรต์ (pyrite) ซึ่งเป็นแร่ที่มีลักษณะมันวาวคล้ายทอง (พบได้หลายที่บนโลก)
นอกจากนี้ยังแสดงถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของดาวศุกร์ เช่น ภูเขาไฟรูปทรงแพนเค้ก ซึ่งเหมือนจะเกิดจากการปะทุของลาวาที่หนามาก และบริเวณการยุบตัวของโดมที่เกิดจากแรงดันของของเหลวชั้นแมนเทิลใต้พื้นผิวของดาวศุกร์ เรียกว่า โคโรแน (coronae) ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ถึงประมาณ 100-600 กิโลเมตร บางบริเวณยังพบลักษณะริ้วเขาหรือแนวเขาที่แผ่กระจายรอบภูเขาไฟเป็นวงกลมตามแนวรัศมี เรียกว่า อะแรชนอยด์ (arachnoids) ซึ่งลักษณะดังกล่าวพบได้เฉพาะบนพื้นผิวของดาวศุกร์เท่านั้น
นอกจากนี้ยังแสดงถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของดาวศุกร์ เช่น ภูเขาไฟรูปทรงแพนเค้ก ซึ่งเหมือนจะเกิดจากการปะทุของลาวาที่หนามาก และบริเวณการยุบตัวของโดมที่เกิดจากแรงดันของของเหลวชั้นแมนเทิลใต้พื้นผิวของดาวศุกร์ เรียกว่า โคโรแน (coronae) ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ถึงประมาณ 100-600 กิโลเมตร บางบริเวณยังพบลักษณะริ้วเขาหรือแนวเขาที่แผ่กระจายรอบภูเขาไฟเป็นวงกลมตามแนวรัศมี เรียกว่า อะแรชนอยด์ (arachnoids) ซึ่งลักษณะดังกล่าวพบได้เฉพาะบนพื้นผิวของดาวศุกร์เท่านั้น
การสำรวจดาวศุกร์
โดยยานอวกาศ ยานอวกาศลำแรกที่ถ่ายภาพเมฆดาวศุกร์ได้ คือยานอวกาศของสหรัฐอเมริกา ชื่อยานมารีเนอร์ 10 เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ยานอวกาศลำแรกที่ได้ถ่ายภาพพื้นผิวดาวศุกร์ได้ คือยานอวกาศเวเนรา 9 ของรัสเซีย ซึ่งลงสัมผัสพื้นผิวของดาวศุกร์เมื่อ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2518 ต่อมามียานอวกาศไปสำรวจดาวศุกร์อีกหลายลำ ลำล่าสุดที่ถ่ายภาพโดยอาศัยระบบเรดาร์ คือยานแมกเจลแลน เมื่อ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2534
ยานอวกาศที่สำรวจดาวศุกร์ มีด้วยกันหลายลำได้แก่
1. มาริเนอร์ 2 เมื่อ 14 ธันวาคม 2505
2. เวเนรา 4 18 ตุลาคม 2510
3. เวเนรา 7 15 ธันวามคม 2513
4. มาริเนอร์ 10 5 กุมภาพันธ์ 2517
5. เวเนรา 9 23 ตุลาคม 2518
6. เวเนรา 15 10 ตุลาคม 2526
7.ไพโอเนียร์-วีนัส 2 9 ธันวาคม 2521
8. แมกเจลแลน 10 สิงหาคม 2533
2. เวเนรา 4 18 ตุลาคม 2510
3. เวเนรา 7 15 ธันวามคม 2513
4. มาริเนอร์ 10 5 กุมภาพันธ์ 2517
5. เวเนรา 9 23 ตุลาคม 2518
6. เวเนรา 15 10 ตุลาคม 2526
7.ไพโอเนียร์-วีนัส 2 9 ธันวาคม 2521
8. แมกเจลแลน 10 สิงหาคม 2533
